วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

จิตวิญญาณในร่างกายที่ชราภาพนั้น
ไม่มีวันโรยรา...ยังคงความเป็นหนุ่มสาวที่เปี่ยม
มากล้นประสพการณ์
ผุพังสังขาร ก็เท่านั้น
ครอบครองเป็นอยู่ หกเจ็ดสิบปีก็ต้องลา
ชรา...นั้นแน่ มังสาเนื้อหนัง อินทรีย์ มีเกิดดับ
..."ความดีงาม อยากมีต้องเพียรทำ"...
เป็นบันทึกให้มวลชีวิต ที่คงยึด อยู่ตาม
ได้ จารจำ...

วันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เที่ยวเมืองเชียงใหม่ กับสายการบินโลว์ครอส แอร์เอเชีย (2)

หลังจากเก็บสัมภาระไว้ที่ห้องพักของโรงแรมเป็นที่เรียบร้อย 
ก็พากันออกตระเวณเมือง


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง ซึ่งไม่อาจปฏิเสธได้
อาหารพื้นเมืองเชียงใหม่ มื้อแรกที่ "วีที แหนมเนือง"





 ระยะโฟกัสของกล้องผิดไป กลายเป็นหน้าเบลอ...หลังชัด



ค่อนข้างสับสนกับวิธีกินอาหารของชาวเจียงใหม่...
ที่นี่เค๊านิยมผักสด ประเภทต่างๆ กินเป็นเครื่องเคียง



 วัดดอยคำ


ฝูงนกพิราบที่ค่อนข้างคุ้นชินกับคน เกาะอยู่เต็มลานหน้าประตูท่าแพ


 เลนส์กล้องก็ซูมได้ไม่มากนัก 18-55 เข้าไปไกล้หน่อยนกไม่บินหนี
ก็เลยสนุกกับการถ่ายภาพ "นกพิราบ" ถึงเชียงใหม่







บริเวณนี้ ในวันอาทิตย์จะเปลี่ยนสภาพเป็น "ถนนคนเดิน"



 ตลอดช่วงถนนเป็นระยะทางร่วม 1 กิโลเมตร


ทำความเข้าใจกับรหัสเลนส์ แบบต่างๆของกล้องถ่ายรูป

ไปเจอบทความดีๆ เกี่ยวกับความรู้เรื่องเลนส์ของกล้องถ่ายรูป  ในฐานะผู้เริ่มศึกษา
ก็ต้องขอคัดลอกเพื่อไว้ช่วยจำครับ
............................................................................................................


รหัสอันแรก AF ก็มาจาก ออโต้โฟกัส  ส่วนถ้าแมนนวลจะเป็น MF ซึ่งก็คือ ปรับโฟกัสแบบมือ ซึ่งก็เหลือน้อยลงทุกทีๆ
ต่อมาก็คือตัวเลขต่างๆเช่น 50 mm 85 mm 35 mm หรือ 35-80 mm 70-20 mm
ตัวเลขนี้คือระยะของเลนส์ ซึ่งมาจากระยะห่างของเลนส์ กับกระจกสะท้อนภาพในตัวกล้อง ซึ่งทำให้เราถ่ายใกล้ไกลนั่นเอง ถ้ามีแค่จำนวนเดียว คือเลนส์ฟิกซ์ แต่ถ้ามี 2 จำนวนแปลว่า เป็นเลนส์ซูมนั่นเอง เช่น 35 mm ก็คือเลนส์ตัวนี้ ถ่ายที่ระยะ 35 ตลอด ปรับไม่ได้ แต่ถ้าเป็น 35-80 หมายถึงเลนส์ตัวนี้ ปรับระยะได้ตั้งแต่ 35-80 มิล

ระยะของเลนส์จะเรียกกัน 3 ระยะ

เลนส์ไวด์   
 จะอยู่ต่ำกว่า 28 mm คือเลนส์มุมว้างนั่นเอง





เลนส์นอร์มอลหรือระยะธรรมดา  

จะอยู่ระหว่าง 28-70 mm เพราะว่า สายตาคนเราจะอยู่ที่ 50 mm ช่วงระยะนี้เลยเป็นระยะธรรมดา


เลนส์ เทเล 

คือเลนส์ที่ระยะเกิน 70 mm ขึ้นไป พวกเลนส์ ที่ไว้ถ่ายภาพนก หรือกีฬานี่แหละเช่น 70-200 70-300 300 400 600




............................................................................................................


ตัวต่อมา ก็จะเป็นค่า f หรือรูรับแสง ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมากๆเลยทีเดียวโดย ตัวเลขยิ่งน้อย หมายถึงรูรับแสงกว้าง และแน่นอนว่าราคาก็สูงตามไปด้วยโดยค่า เอฟนั้น ก็จะเหมือนกับตัวเลขระยะ ของเลนส์ คือมทั้งแบบค่าเดียว กับ สองค่า เช่น
f2.8 f1.4 f3.5-5.6 f4-5.6




ถ้าเลนส์มีค่าเดียวนั้น หมายความว่าเลนส์นี้ สามารถปรับรูรับแสงได้กว้างสุดที่ค่านั้นตลอดช่วงเลนส์เช่น 35mm f2.8 หมายถึงเลนส์ตัวนี้ระยะที่ 35 มิล และเปิดรูรับแสงได้กว้างสุดที่ 2.8 
17-55 mm f2.8  หมายถึง เลนส์นี้จะตั้งระยะที่เท่าไหร่ก็ตาม ไม่ว่า 17 หรือ 55 ก็เปิดรูรับแสงได้กว้างสุดที่ 2.8 ตลอดช่วง

แต่ถ้ามาเป็นคู่ล่ะ  เช่น 35-80 f4-.6 อันนี้จะหมายถึงว่า ที่ 35 เราจะเปิดรูรับแสงได้กว้างสุดที่ 4 แต่ถ้าเราปรับระยะไปที่ 80 เราจะปรับรูรับแสงได้กว้างสุดที่ 5.6 เท่านั้น  เพราะฉะนั้นแล้วถ้าเลนส์มาแบบนี้ 

AF 50mm f1.8 ก็หมายถึงเลนส์นี้เป็นเลนส์ออโต้โฟกัส ที่ระยะ 50 ตายตัว รูรับแสงเปิดได้กว้างสุดที่ 1.8

AF 70-300 f4-5.6  ก็หมายถึงเลนส์นี้เป็นเลนส์ ออโต้โฟกัสที่ สามารถซูมได้จาก 70มิล จนถึง 300 มิล แต่ที่ 70 รูรับแสงจะเปิดได้กว้างสุดที่ 4 และที่ระยะ300 จะเปิดรูรับแสงได้มากสุดที่ 5.6

AF 70-200 f2.8   หมายถึงเลนส์นี้เป็นเลนส์ออโต้โฟกัส ที่ซูมได้ตั้งแต่ระยะ 70 จนถึง 200 มิล โดยทุกช่วงสามารถตั้งรูรับแสงได้กว้างสุดที่  2.8

............................................................................................................

ส่วนเลนส์ ที่มีศัพท์ว่า ออปติคอลซูม กับ ดิจิตอลซูมนั้น ก็คือ

ออปติคอลซูม 
คือการซูมจากเลนส์โดยตรงเลย ถ้าเป็นกล้องคอมแพ็ค เราก็จะเห็นเลนส์มันยืดออกมา

ดิจิตอลซูม 
คือการซูมภาพโดยใช้ซิปของตัวกล้อง ก็เหมือนๆเราใช้คอมขยายภาพนั่นแหละ ซึ่งทำให้บางทีถ้าขยายเกินไป ก็ทำให้ภาพแตกได้ ส่วนใหญ่กล้องมือถือจะใช้แบบนี้
ส่วนระยะคูณของเลนส์ซูมนั้น ที่เห็นโฆษณาว่าซูมได้กี่เท่าๆ ก็คำนวณได้จากระยะของเลนส์เช่น 17-55 เราก็เอา 55 หารด้วย 17 จะเท่ากับประมาณ 3.2 ก็แปลว่าเลนส์ตัวนี้ ระยะซูมได้เท่ากับ 3.2 เท่านั่นเอง

เช่นเดียวกัน 70-300 ก็เอา 300 หารด้วย 70 ก็ได้เท่ากับว่า เลนส์ตัวนี้ระยะซูมได้ประมาณ 4.3 เท่า


ข้างบนนั้น ถือเป็นค่ามาตรฐานของเลนส์ทุกยี่ห้อบนโลก
แต่เนื่องจากปัจจุบันนั้น มีผู้ผลิตเลนส์อยู่จำนวนมาก ทั้งเลนส์ที่มาจากผู้ผลิตกล้อง เลนส์จากค่ายอิสระต่างๆ ทำให้มีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามา แต่ว่าต่างบริษัทก็มีชื่อเรียกต่างกันไป โดยมากจะใส่มาตามหลังตัวเลขบนนั้น
...........................................................................................................

เรามาดูที่นิคอนก่อนเลยว่า มีอะไรบ้าง



D - เป็นระบบวัดแสงแบบ 3 มิติ โดยเลนส์จะส่งข้อมูลระยะห่างของวัตถุเข้าไปยังชิปในตัวกล้องด้วย
G - เป็นเลนส์ที่ไม่มีแหวนปรับรูรับแสง ส่วนจะปรับยังไงให้ไปดูที่ AF-S
ED - เป็นเลนส์ที่ใช้ลดความเพี้ยนของภาพ
ASP - เลนส์ที่ช่วยลดความเพี้ยนของภาพแล้ว ยังแก้ปัญหาการเกิดสีที่ขอบภาพได้อีกต่างหาก
IF - เป็นชุดโฟกัสที่อยู่ภายในเลนส์ เลนส์สมัยก่อนนั้นเวลาปรับโฟกัสแล้ว หน้าเลนส์จะมีการขยับเข้าออกอยู่ระยะสั้นๆ แต่ถ้ามีตัวนี้แล้ว หน้าเลนส์จะไม่ขยับเลยแม้จะปรับโฟกัสแบบมือปรับก็ตาม
RF - คือชุดโฟกัสจะอยู่ด้านหลังเลนส์ จะทำให้โฟกัสรวดเร็วขึ้น ละเงียบขึ้น
AF-S - AF มาจาออโต้โฟกัสนั่นเอง ส่วน S มาจา Silnt wave motor ก็คือมีมอเตอร์ปรับรูรับแสงในตัว ทำให้ปรับได้เร็วและเงียบขึ้น ใช้กับกล้องรุ่นใหม่ๆ ที่ไม่มีมอเตอร์ปรับรูรับแสงในตัวกล้องเช่น D40X D60
VR - หรือระบบ กันสั่นนั่นเอง ทำให้ภาพที่ถ่ายมาม้มือจะไม่นิ่งแต่ทำให้ภาพยังคมชัดได้
DX - คือเลนส์ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้กับกล้องดิจิตอลนั่นเอง
N - เลนส์นาโน ที่ช่วยในการลดแสงจากสิ่งที่ไม่พึงประสงค์ เช่นแสงไฟจากขอบภาพ หรือแสงแดดที่แยงเข้ามา
Micro - คือเลนส์มาโครนั่นเอง แต่นิคอนเขียนกันยังงี้


เลนส์ของ ซิกม่า (ก็อปมาจาก ไทยดี)


SIGMA
EX = EX Lens เป็นรหัสเลนส์เกรดโปรของ Sigma
APO = APO Lens เป็นชิ้นเลนส์แก้ความคลาดเคลื่อนสี
DC = DC Lens คือเลนส์ที่ออกแบบมาเพื่อกล้องดิจิตอล (เอามาใส่ Full frame ก็ได้แต่จะเป็นขอบดำช่วงวายด์)
DG = DG Lens คือเลนส์ที่ใช้กับกล้องฟิลม์ หรือ Full frame แต่ก็ใส่กับดิจิตอลได้
OS = Optical Stabilizer กันสั่น
IF = Inner Focus คือเลนส์ที่มีระบบโฟกัสอยู่ภายใน หน้าเลนส์ไม่หมุนเวลาโฟกัส
HSM = Hyper-Sonic Motor มอเตอร์ความเร็วสูงในเลนส์ เหมือนกับ USM ของ Canon และ AF-S ของ Nikon

แล้วก็ แทมร่อน
Di = เลนส์ที่ออกแบบมาให้เข้ากับกล้องดิจิตอลดีขึ้น
Di II = เลนส์ที่ออกแบบมาสำหรับกล้องดิจิตอลเท่านั้น ใช้กับกล้องฟิล์มไม่ได้
XR = Extra Refractive Index Lens เป็นชิ้นเลนส์พิเศษ
LD = Low Dispersion เลนส์ความคลาดแสงต่ำ
SP = เลนส์เกรดโปรของแทมร่อน
VC = หรือชื่อเต็มๆ Vibration Compensation เป็นระบบกันสั่นของ Tamron


เลนส์ของแคนนอน (ก็อปมาจาก ไทยดีเช่นกัน)


EF    - ใช้ได้กับฟิล์มและดิจิตอลรวมทั้งฟูลเฟรม
EF-S - ใช้ได้กับกล้องดิจิตอลเท่านั้น เอาไปใส่ฟูเฟรม็จะเหมือนของนิคอนคือ ขอบภาพดำ
TS-E = TILT-SHIFT Lens คือเลนส์ที่สามารถปรับสัดส่วนของภาพไม่ให้บิดเบี้ยว
L = คือหรัสเลนส์เกรดโปรของ Canon ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร
DO = Diffractive Optical element เป็นชิ้นเลนส์เพื่อแก้อาการคลาดเคลื่อนสี มั้ง
IS = Image Stabilizer กันสั่น
USM = Ultrasonic Motor มอเตออัลตราโซนิคความเร็วสูง (ซึ่งแต่ละตัวก็จะใช้มอเตอร์ที่ไม่เหมือนกันแล้วแต่ว่ารุ่นไหน เกรดโปร หรือเกรดธรรมดา) 

วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

เที่ยวเมืองเชียงใหม่ กับสายการบินโลว์ครอส แอร์เอเชีย (1)

หกโมงเช้า ของวันที่ 15 มิถุนายน 2556

การเดินทางด้วยสายการบินโลว์ครอส แอร์เอเชียซึ่งบุ๊คส์ตั๋วล่วงหน้ากันไว้เมื่อสองเดือนก่อนในที่สุดก็ถึงกำหนด กับช่วงเวลา 3 วัน 2 คืน หนุ่ม(เหลือน้อย) หน้ามลคนนครศรีฯ 6 คน ก็แพ็คกระเป่า (หนีเมีย) มุ่งสู่ท่าอากาศยานนานาชาติหาดใหญ่

เพื่อขึ้นเครื่องเหินฟ้าสู่เมืองเชียงใหม่
..........................................................................................................

แวะลิ้มชิมรสข้าวสตูหมู "โกม้อ" ริมทางช่วงเลี้ยวขวาขึ้นสพานป๋าเปรม




ภายในท่าอากาศยานหาดใหญ่ระหว่างการรอคอย สำหรับเที่ยวบินซึ่งจะออกเดินทาง เวลา 10.45 น.



 ตรวจสภาพความพร้อม อุ่นเครื่องกับอาวุธ (กล้องถ่ายภาพ) เตรียมไว้เก็บเกี่ยว
ภาพสวยๆ เป็นบันทึกช่วยจำ



ข้าวต้มมัด "เนินขุมทอง" ความสามารถของผู้ผลิต ยกระดับขึ้นห้างเป็นของฝากจากแดนใต้ ไม่ใส่สารกันบูด (เขาว่า) ผมลองชิมดูแล้วรสชาดดีครับ





 โฉมหน้าชัดๆของผู้ร่วมเดินทาง (จากซ้ายไปขวา)
1. คุณสมพร ทองบาง  2. อาจารย์อนันต์ ปัญญาวุฒิ 3. ด.ต.ฉลอง รักษาชล
4. อาจารย์ภิญโญ เพ็ชรแก้ว  5. คุณนิรัตน์ แก้วกุล


อากาศยานลำนี้แหละครับที่จะพาพวกเราเหินฟ้า



 "บินลัดฟ้า...มาเหนือเมฆ" 
ระยะทางร่วมพันโล สำหรับผมแล้วถือเป็นครั้งแรกกับการบินไกล (แค่เนี๊ยะ) แก้วหูลั่นเปรี๊ยะ แม่พาลูกอายุขวบกว่ายังแบเบาะ ร้องงอแงทันทีเด้กคงปวดหู
ยามที่เครื่องเหินสู่ฟ้าไต่เพดานบิน 



 ร่วมพันกิโลเมตร กับเวลา 1.45 ชั่วโมง
เช้ากินข้าวสตูโกม้อ หัวเขาแดง บ่ายกินแหนมเนือง ที่เชียงใหม่ หร้อยจังหู๊



เช็คอินน์โรงแรมหรู 5 ดาว Centara อ้าวผิดที่ซะนี่ รถสองแถวแดงคงนึกว่า
สองคนนี้เป็นเศรษฐีซาอุ 



 ชื่อโรงแรม มันฟังเพี้ยนไปครับ
ที่ใช่คือ Amora hotel อยู่ข้างคูเมือง ประตูท่าแพ


ร้านข้างโรงแรมมีจักรยานให้เช่า...แต่แบบนี้มิใช่เป้าหมาย
มันไม่สมกับมืออาชีพ เช่าไปปั่นแล้วมันจั๊กกะจี้ (สนนราคา วันละ 150 บ.)


ทัศนียภาพหน้าโรงแรม เป็นคูเมือง
ต้องยอมรับครับ กับความสะอาดสะอ้านของเมือง แม้เป็นเมืองใหญ่มีคูคลองผ่าเมือง ผมไม่เห็นขยะ ไม่เห็นน้ำเน่าเสีย ตลอดแนวเลยครับ






ผ่อนคลายบริเวณล๊อบบี้โรงแรม ก่อนจะแยกย้ายเข้าห้องพัก











ที่บริเวณประตูท่าแพ เชียงใหม่ กับฝูงนกพิราบ ซึ่งน่าจะเป็นถิ่นที่คุ้นเคยของมัน การเดินเข้าไปไกล้ๆเพื่อถ่ายรูปดูท่าจะคุ้นกับคน จึงได้ภาพมีโฟกัสพอดูได้